|
VIEW : 2,101
เพิ่ม/แก้ไขข้อมูล พ.ศ. ๒๔๔๕ พระชันษา ๖ ปี ศึกษากับพระชนกที่บ้าน จนอ่านหนังสือแบบเรียนเร็วเล่ม ๑-๒ จบแล้ว พระชนกจึงส่งให้เข้าเรียนต่อในโรงเรียนเอกชน เป็นเวลาประมาณหนึ่งปี
พ.ศ. ๒๔๔๖ พระชนกนำไปฝากเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์หอม เกสโร (แสงจินดา) ซึ่งเป็นญาติมีศักดิ์เป็นอา ณ วัดสองพี่น้อง ได้เริ่มศึกษาภาษาบาลีด้วยอักษรขอม และมูลกัจจายน์ (หนังสือใหญ่) กับพระอาจารย์หอม เกสโร และพระอาจารย์จ่าง ปุณฺณโชติ (พระครูอุภัยภาดารักษ์) เวลาเย็น ต่อบทสวดมนต์กับพระอาจารย์ที่เรียกว่าต่อหนังสือค่ำ
พ.ศ. ๒๔๕๔ พระชันษา ๑๕ ปี พระอาจารย์หอม วัดสองพี่น้อง นำมาฝากพระภิกษุป่วน (ภายหลังย้ายมาอยู่วัดพระเชตุพน และเป็นพระครูบริหารบรมธาตุ เจ้าอาวาสวัดนางชี เขตภาษีเจริญ) ผู้เป็นญาติฝ่ายโยมมารดา ณ วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร ได้ศึกษาอักษรขอมเพิ่มเติมกับพระภิกษุป่วน
พ.ศ. ๒๔๕๕ พระชันษา ๑๖ ปี ย้ายมาอยู่กับพระสด (พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ) ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ณ วัดพระเชตุพน
พ.ศ. ๒๔๕๕ พระชันษา ๑๖ ปี บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดสองพี่น้อง โดยมี พระครูวินยานุโยค (เหนี่ยง อินฺทโชโต) เจ้าอาวาสวัดสองพี่น้อง เจ้าคณะอำเภอสองพี่น้อง เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. ๒๔๕๖ พระชันษา ๑๗ ปี ลาสิกขาจากสามเณร เพราะพระชนกป่วยต้องไปช่วยโยมทำนา
พ.ศ. ๒๔๕๗ พระชันษา ๑๘ ปี บรรพชาเป็นสามเณรอีกครั้งหนึ่ง และกลับมาอยู่วัดพระเชตุพนตามเดิม
พ.ศ. ๒๔๖๐ พระชันษา ๒๒ ปี อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็งณ ณ วัดสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรบุรี โดยมี พระครูวินยานุโยค (เหนี่ยง อินฺทโชโต) วัดสองพี่น้อง เจ้าคณะอำเภอสองพี่น้อง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อโหน่ง อินฺทสุวณฺโณ วัดสองพี่น้อง (ต่อมาเป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน ตำบลดอนมะดัน) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระศากยบุตติยวงศ์ (เผื่อน ติสฺสทตฺโต) ภายหลังเป็นสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพน เป็นพระอนุสาวนาจารย์
พ.ศ. ๒๔๖๒ พระชันษา ๒๕ ปี อุปสมบทได้ ๓ พรรษา ศึกษาภาษาอังกฤษกับหลวงประสานบรรณวิทย์ ตลาดนางเลิ้ง ศึกษาภาษาจีนกับนายกมล มะลิทอง
พ.ศ. ๒๔๕๕ ศึกษาภาษาบาลีและนักธรรม ในสำนักเรียนวัดพระเชตุพน กับพระศากยบุตติยวงศ์ (เผื่อน ติสฺสทตฺโต) และพระมหาปี วสุตฺตโม |
พ.ศ. ๒๔๕๖ สอบได้ นักธรรมชั้นตรี |
พ.ศ. ๒๔๕๘ สอบได้ เปรียญธรรม ๓ ประโยค ขณะเป็นสามเณร และได้เข้ารับพระราชทานประกาศนียบัตรและพัดใบตาลใจกลางพื้นแพรเขียวจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย |
พ.ศ. ๒๔๖๒ สอบได้ นักธรรมชั้นโท |
พ.ศ. ๒๔๖๓ สอบได้ เปรียญธรรม ๔ ประโยค |
พ.ศ. ๒๔๖๖ สอบได้ เปรียญธรรม ๕ ประโยค |
พ.ศ. ๒๔๗๐ สอบได้ เปรียญธรรม ๖ ประโยค |
พ.ศ. ๒๔๘๔ | เป็น ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร |
พ.ศ. ๒๔๘๔ | เป็น พระคณาจารย์เอกทางเทศนา |
พ.ศ. ๒๔๘๖ | เป็น เจ้าคณะเหนือ วัดพระเชตุพน |
พ.ศ. ๒๔๘๖ | เป็น เจ้าคณะตรวจการภาคบูรพา |
พ.ศ. ๒๔๘๖ | เป็น เจ้าคณะตรวจการภาค ๒ |
พ.ศ. ๒๔๘๗ | เป็น ผู้อำนวยการเทศน์ปุจฉาวิสัชนา |
พ.ศ. ๒๔๘๗ | เป็น พระอุปัชฌาย์ |
พ.ศ. ๒๔๘๘ | เป็น สมาชิกสังฆสภา |
พ.ศ. ๒๔๙๐ | เป็น ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร |
พ.ศ. ๒๔๙๑ | เป็น สังฆมนตรี (สมัยที่ ๑) |
พ.ศ. ๒๔๙๑ | เป็น เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร |
พ.ศ. ๒๔๙๑ | เป็น กรรมการและเลขาธิการ กรรมการสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิการ (ก.ส.พ.) |
พ.ศ. ๒๔๙๒ | เป็น เจ้าคณะตรวจการภาค ๒ |
พ.ศ. ๒๔๙๓ | เป็น สังฆมนตรี (สมัยที่ ๒) |
พ.ศ. ๒๔๙๔ | เป็น สังฆมนตรี (สมัยที่ ๓) |
พ.ศ. ๒๔๙๔ | เป็น สังฆมนตรี (สมัยที่ ๔) |
พ.ศ. ๒๔๙๔ | เป็น เจ้าคณะตรวจการภาค ๗ |
พ.ศ. ๒๔๙๘ | เป็น สังฆมนตรี (สมัยที่ ๕) |
พ.ศ. ๒๔๙๙ | เป็น สังฆมนตรีว่าการองค์การสาธารณูปการ (สมัยที่ ๕) |
พ.ศ. ๒๕๐๐ | เป็น กรรมการสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิการ (ก.ส.พ.) |
พ.ศ. ๒๕๐๒ - ๒๕๐๘ | เป็น ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ |
พ.ศ. ๒๕๐๓ | เป็น สังฆมนตรีว่าการองค์การเผยแพร่ (สมัยที่ ๖) |
พ.ศ. ๒๕๐๔ | เป็น กรรมการพิจารณาหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี |
พ.ศ. ๒๕๐๖ | เป็น กรรมการมหาเถรสมาคม |
พ.ศ. ๒๕๐๖ | เป็น กรรมการพิจารณาร่างหลักสูตรพระปริยัติธรรม แผนกบาลี เปรียญตรี โท เอก |
พ.ศ. ๒๕๐๖ - ๒๕๐๗ | เป็น ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร |
พ.ศ. ๒๕๐๘ - ๒๕๑๕ | เป็น เจ้าคณะใหญ่หนกลาง |
พ.ศ. ๒๕๐๘ | เป็น รักษาการในตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก หนเหนือ และหนใต้ |
พ.ศ. ๒๕๑๐ | เป็น ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช |
พ.ศ. ๒๕๑๕ | เป็น เจ้าคณะนครหลวงกรุงเทพธนบุรี |
พ.ศ. ๒๕๑๕ | เป็น สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก |
พ.ศ. ๒๕๑๖ | เป็น ประธานสมัชชามหาคณิสสร |
พ.ศ. ๒๔๖๓ | เป็น ครูสอนบาลีไวยากรณ์ |
พ.ศ. ๒๔๖๗ - ๒๔๘๗ | เป็น ครูสอนชั้นธรรมบท กอง ๑ - ๒ และชั้นธรรมบท กอง ๓ ซึ่งเป็นชั้นประโยค ๓ |
พ.ศ. ๒๔๙๐ | เป็น กรรมการสภามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย |
พ.ศ. ๒๔๙๔ | เป็น ประธานกรรมการเจ้าคณะตรวจการภาค (ก.จ.ภ.) |
พ.ศ. ๒๕๐๐ | เป็น กรรมการอุปถัมภ์กิตติมศักดิ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย |
พ.ศ. ๒๕๐๙ | เป็น แม่กองงานพระธรรมทูต |
พ.ศ. ๒๔๘๓ เป็นกรรมการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย แผนกพระวินัย
พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นสภานายกสภาพระธรรมกถึก
พ.ศ. ๒๔๙๔ เป็นอนุกรรมการอบรมศีลธรรมและวัฒนธรรมแก่ข้าราชการและประชาชน (ก.อ.ช.)
พ.ศ. ๒๔๙๖ เป็นประธานกรรมการสงฆ์แห่งโรงพยาบาลสงฆ์
พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นประธานทอดผ้าป่าวันโรงพยาบาลสงฆ์ โดยทรงริเริ่มในนามสภาพระธรรมกถึก, เป็นกรรมการวิทยุกระจายเสียงวันธรรมสวนะ
พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการทำนุบำรุงโรงพยาบาลสงฆ์
พ.ศ. ๒๕๐๑ เป็นประธานกรรมการปรับปรุงตลาดเฉลิมโลก
พ.ศ. ๒๕๐๘ เป็นกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสงฆ์
พ.ศ. ๒๕๑๐ เป็นประธานจิตตภาวันวิทยาลัย
พ.ศ. ๒๔๙๗ ประชุมฉัฏฐสังคายนา ประเทศพม่า, สังเกตการณ์พระศาสนา ประเทศกัมพูชา
พ.ศ. ๒๔๙๙ งานฉลองพุทธชยันตี (๒๕ ศตวรรษ) ประเทศศรีลังกา, นมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย และแวะประเทศสิงคโปร์
พ.ศ. ๒๕๐๒ พิธีเปิดวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย
พ.ศ. ๒๕๐๕ ตั้งผู้ปกครองวัดเชตวัน กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
พ.ศ. ๒๕๐๖ เยี่ยมวัดไทยในรัฐเคดาห์ ปีนัง ประเทศมาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์
พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นประธานผูกพัทธสีมา วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย และสังเกตการณ์พระพุทธศาสนา ประเทศเนปาล, ตั้งเจ้าอาวาสวัดเชตวัน กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
พ.ศ. ๒๕๑๐ เป็นประธานผูกพัทธสีมา วัดเชตวัน กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
พ.ศ. ๒๕๑๑ งานพระราชทานเพลิงศพ พระนิโครธรรมธาดา ประเทศมาเลเซีย, เยี่ยมวัดพุทธปทีป กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และเสด็จประเทศเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม ลักเซมเบอร์ก เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี
พ.ศ. ๒๕๑๓ เป็นผู้แทนคณะสงฆ์แห่งประเทศไทย ในงานถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จพระสังฆราช ประเทศกัมพูชา
พ.ศ. ๒๕๑๕ เยือนประเทศสหรัฐอเมริกา ตามคำอาราธานาของรัฐบาลอเมริกัน เยือนสำนักวาติกัน กรุงโรม ตามคำอาราธนาของสมเด็จพระสันตปาปา ประมุขแห่งศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก และเยี่ยมวัดพุทธปทีป ประเทศอังกฤษ ผ่านไปเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และสเปน
ผลงานของพระองค์ นอกจากที่ได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติงานตามตำแหน่งหน้าที่ และงานพิเศษต่าง ๆ ที่ได้รับมอบอย่างครบถ้วนแล้ว ยังมีงานด้านพระศาสนาที่ทรงริเริ่มพัฒนาอีกเป็นจำนวนมาก กล่าวคือ งานด้านการก่อสร้าง และปฏิสังขรณ์ ก่อสร้างและปฏิสังขรณ์ทั้งปูชนียสถาน เช่น พระอาราม สาธารณสถาน เช่น พิพิธภัณฑ์ โรงเรียน โรงพยาบาล ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเป็นจำนวนมาก
นอกจากแต่งและเรียบเรียงพระธรรมเทศนาแล้ว โดยที่สนใจในการประพันธ์มาตั้งแต่ยังเป็นสามเณร โปรดการอ่านหนังสือและสะสมหนังสือต่าง ๆ ทั้งเคยเขียนบทความเกี่ยวกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ในพระนามว่า "ป. ปุณฺณสิริ" ยังนิพนธ์หนังสืออีก ๒๐ กว่าเรื่อง ประเภทวิชาการ เมื่อเป็นเลขาธิการ ก.ส.พ. ได้รวบรวมระเบียบข้อบังคับคณะสงฆ์พิมพ์เป็นเล่ม ชื่อประมวลอาณัติคณะสงฆ์ ประเภทสารคดีบันทึกการเสด็จไปยังที่ต่าง ๆ คือสู่เมืองอนัตตา พุทธชยันตี เดีย - ปาล สู่สำนักวาติกัน และนิกสัน และพระนิพนธ์เรื่องสุดท้าย คือ บ่อเกิดแห่งกุศลคือโรงพยาบาล ประเภทธรรมนิยาย เช่น จดหมายสองพี่น้อง สันติวัน พรสวรรค์ หนี้กรรมหนี้เวร ไอ้ตี๋ ดงอารยะ เกียรติกานดา คุณนายชั้นเอก ความจริงที่มองเห็น ความดีที่น่าสรรเสริญ อภินิหารอาจารย์แก้ว จรัมบุญ กรรมสมกรรม ในพระนามสันติวัน หรือศรีวัน นอกจากนี้ ยังได้เขียนเป็นบทความต่าง ๆ อีกมาก
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) บริหารการคณะสงฆ์ในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ วัดโสธรวราราม และในตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการ ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ตามประกาสสถาปนาสมณศักดิ์นั้นแล้ว นอกจากนี้ยังวิตกถึงวัดที่เป็นพระอารามหลวง ซึ่งชำรุดทรุดโทรมเป็นจำนวนมาก ปรารภในที่ประชุมพระสังฆาธิการของกรุงเทพมหานคร มีพระประสงค์จะให้วัดเป็นระเบียบเรียบร้อย เช่น สร้างกำแพงหรือรั้วกั้นเขตวัด เมื่อทุเลาจากการประชวรคราวแรก ได้เสด็จไปตรวจเยี่ยมวัดราชโอรสาราม และวัดชัยพฤกษมาลา ที่ได้ตั้งพระเถระไปเป็นเจ้าอาวาส ในขณะประชวรก็ยังมีพระบัญชาให้พระเถระผู้ใหญ่ออกตรวจเยี่ยมวัดแทนพระองค์
ส่วนในตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีเวลาน้อย ทั้งยังต้องรักษาพระองค์อีกเป็นส่วนมาก ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีพระดำริในการคณะสงฆ์หลายประการ โดยมุ่งประโยชน์สุขและความเจริญแก่ประชาชน ทั้งยังมอบความเป็นอิสระในการบริหารคณะ เช่น เมื่อจะแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมในส่วนคณะมหานิกาย ก็ประชุมหารือกับพระเถระในฝ่ายมหานิกาย ในฝ่ายคณะธรรมยุต ก็หารือกับพระเถระในคณะธรรมยุตก่อน
อนึ่ง ดำริถึงพระภิกษุที่ได้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ซึ่งได้รับการยกย่องขึ้นเป็นพระครูประทวน จึงขออนุมัติต่อมหาเถรสมาคม ให้สร้างพัดขึ้นถวายเป็นเกียรติยศ
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) เจริญอยู่ในพรหมวิหารธรรม เป็นครุฐานียอภิปูชนียบุคคล เป็นที่รักที่เคารพบูชาสักการะอย่างยิ่งแห่งปวงชนทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ได้รับยกย่องพระเกียรติคุณเป็นอย่างสูง จึงมีพระนามเป็นพิเศษว่า “สมเด็จป๋า” พระเครื่องและเหรียญพระรูป ที่สร้างขึ้นในวาระต่าง ๆ หรือที่มีผู้มาขออนุญาตพิมพ์เป็นที่ระลึกในงานกุศล ปรากฏว่าเป็นที่นิยมกันมาก ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทราบ จึงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ท่านผู้หญิงศรีจิตรา บุนนาค แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเบาหวาน แห่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และนายแพทย์สิโรตม์ บุนนาค เป็นแพทย์ถวายการรักษาพยาบาลประจำพระองค์ ตั้งแต่วันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ และได้เสด็จไปประทับ ณ ตึกจงกลนี วัฒนวงศ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อรับการตรวจเป็นประจำทุก ๆ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ ก่อนเสด็จไปต่างประเทศ ก็ได้รับการตรวจพระอาการทั่วไป
ต้นเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้เสด็จไปรับการตรวจพระอาการ เมื่อตรวจเอกซเรย์ ปรากฏว่าพระปัปผาสะ (ปอด) ข้างซ้ายผิดปกติ จึงต้องเสด็จไปประทับ ณ ตึกจงกลณี วัฒนวงศ์ เพื่อให้คณะแพทย์ตรวจพระอาการโดยละเอียด คณะแพทย์พบว่า ปอดข้างซ้ายเป็นเนื้องอก (มะเร็ง) จำต้องรักษาโดยการผ่าตัดโดยด่วน เมื่อความได้ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะแพทย์ถวายการรักษาในทางที่เห็นว่าดีและปลอดภัยมากที่สุด
คณะแพทย์ได้ถวายการผ่าตัดเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ หลังจากถวายการผ่าตัดแล้ว พระอาการดีขึ้นโดยลำดับ จนเสด็จกลับวัดได้ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศง ๒๕๑๕ คณะแพทย์ได้ถวายคำแนะนำให้ทรงพักรักษาพระองค์อีกสามเดือน ตลอดเวลาที่พักอยู่นั้น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้จัดบุรุษพยาบาลและเจ้าหน้าที่กายภาพบำบัด มาเฝ้าปฏิบัติและถวายการรักษาเป็นประจำ จนเสด็จประชุมมหาเถรสมาคม และเสด็จไปกิจนิมนต์ได้
ครั้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ มีพระอาการผิดปกติ แพทย์ประจำพระองค์ได้มาถวายการตรวจและถวายยา วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๖ รู้สึกพระองค์ว่าความจำเสื่อมผิดปกติไปมาก หลังจากที่เสด็จไปแสดงพระธรรมเทศนา ถึงกับรับสั่งว่า ต่อไปคงจะเทศน์ไม่ได้อีกแล้ว ความจำไม่ดี แพทย์ประจำพระองค์ได้กราบทูลอาราธนาให้เสด็จไปประทับ ณ โรงพยาบาลเพื่อตรวจพระอาการกำหนดเสด็จไปวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๖ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ หลังจากทรงทำอุโบสถสังฆกรรมแล้ว
คณะแพทย์ได้ตรวจพระอาการ ปรากฏว่า โรคมะเร็งขึ้นสมองด้านซ้าย จึงทำให้พระวรกายซีกขวาอ่อนแรง เคลื่อนไหวไม่ได้ ครั้นเมื่อถวายการรักษาทางยา และฉายรังสีโคบอลท์พระอาการดีขึ้นจนพระหัตถ์ข้างขวาเคลื่อนไหวได้และทรงอักษรได้บ้าง
วันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ ประชวรพระวาโย ต้องเชิญเสด็จประทับห้องฉุกเฉิน ตั้งแต่นั้นมา พระอาการก็มีแต่ทรงกับทรุด วันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ มีพระโลหิตออกจากกระเพาะอาหาร คณะแพทย์ต้องถวายการผ่าตัด เมื่อเวลา ๒๓.๐๐ น. หลังจากนั้น พระอาการดีขึ้นเล็กน้อย วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๖ พระอาการน่าวิตก วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๖ เวลา ๒๐.๐๐ น. พระอาการทรุดหนักลง ต่อแต่นั้นมาพระอาการมีแต่ทรุดลงเป็นลำดับ และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เวลา ๒๒.๒๕ น. โดยมีคณะแพทย์ พยาบาล และศาสตราจารย์ นายแพทย์อุดม โปษะกฤษณะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยพระเถรานุเถระ ศิษยานุศิษย์ เฝ้าพระอาการอยู่ตลอดเวลา
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ในการรักษาพยาบาลตลอดมา และมีคณะแพทย์กราบบังคมทูลถวายรายงานการประชวรให้ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ทุกระยะ ตั้งแต่ยังสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระวันรัต ตราบจนกระทั่งสิ้นพระชนม์
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้มีแถลงการณ์แจ้งข่าวพระอาการตลอดมาทุกระยะ แถลงการณ์ในการสิ้นพระชนม์ มีดังนี้
"สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๑๖ ด้วยพระอาการเวียนพระเศียร ความจำทรงเสื่อมลง พระวรกายทางซีกขวาอ่อนเคลื่อนไหวไม่ได้ คณะแพทย์ลงความเห็นว่า พระอาการทั่วไปทั้งหมด เนื่องมาจากการที่พระองค์ทรงประชวรเป็นเนื้องอกในปอดข้างซ้าย ซึ่งคณะแพทย์ได้ถวายการรักษาด้วยรังสีโคบอลท์ พระอาการดีขึ้นบ้าง
ต่อมาวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ มีพระโรคแทรก คือ พระโลหิตออกจากกระเพาะอาหาร คณะแพทย์ได้ถวายการผ่าตัดเพื่อระงับมิให้สูญเสียพระโลหิตทางลำไส้อีก และถวายการผ่าตัดเพื่อมิให้มีพระอาการขึ้นอีก นับตั้งแต่วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นต้นมา พระอาการทางสมองมากขึ้น จนครึ่งพระวรกายซีกขวาเคลื่อนไหวไม่ได้ ทรงมีพระอาการไข้ขึ้นสูงตลอดมา ปอดบวม มีพระอาการทั่วไปอ่อนเพลียลงตามลำดับ ในที่สุดสิ้นพระชนม์ลงเมื่อวันศุกร์ที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เวลา ๒๒.๒๕ น. ด้วยพระอาการอันสงบ
คณะแพทย์ได้พยายามเยียวยาถวายการรักษาพระองค์อย่างสุดความสามารถจนถึงสิ้นพระชนม์ ในตอนกลางคืน วันสิ้นพระชนม์ มีพระสงฆ์เฝ้าเยี่ยมพระอาการประมาณ ๓๐๐ รูป คฤหัสถ์ประมาณ ๒๐๐ คน"
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระศพตามโบราณราชประเพณีทุกประการ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เวลา ๑๖.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาถวายน้ำสรงพระศพ ณ ตึกกวี เหวียนระวี แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระโกศประดิษฐานเหนือชั้นแว่นฟ้าประกอบพระลองกุดั่นใหญ่ แวดล้อมด้วยเครื่องประดับพระเกียรติยศ ณ หอประชุมสงฆ์ วัดพระเชตุพน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมทั้งกลางวัน และกลางคืน รับพระราชทานฉันเช้าวันละ ๘ รูป เพลวันละ ๔ รูป กำหนด ๗ วัน ทั้งได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทานถวาย เมื่อครบ ๗ วัน ๕๐ วัน และ ๑๐๐ วัน พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดการพระราชกุศลออกพระเมรุ และพระราชทานเพลิง วันที่ ๒๒, ๒๓ และ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๗
ในการบำเพ็ญกุศลถวายพระศพนี้ มหาเถรสมาคม คณะสงฆ์ ทั้งในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่าง ๆ ทั่วทุกภาค คณะรัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม สมาคม พ่อค้า ประชาชน ศิษยานุศิษย์ คณะสงฆ์จีน คณะสงฆ์ญวน สมาคมคาทอลิกแห่งประเทศไทย สมาคมศรีคุรุสิงห์สภา สมาคมฮินดูสมาช ฮินดูธรรมสภา และในต่างประเทศ ก็มีพระภิกษุสงฆ์พร้อมด้วยพุทธบริษัทจากฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ได้โดยเสด็จพระราชกุศลมาจนถึงวันพระราชทานเพลิงพระศพ
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ทรงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน องค์ที่ ๑๑ เป็นเวลา ๒๖ ปี ๘ เดือน ๓๐ วัน ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๗ เป็นเวลา ๑ ปี ๔ เดือน ๑๘ วัน สิริพระชันษา ๗๗ ปี
พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๗
๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็น
พระราชาคณะชั้นสามัญ
ที่ พระอมรเวที
|
๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็น
พระราชาคณะชั้นราช
ที่ พระราชสุธี ธรรมปรีชาภิมณฑ์ ปริยัติโกศล ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
|
๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็น
พระราชาคณะชั้นเทพ
ที่ พระเทพเวที ตรีปิฎกคุณ สุนทรธรรมภูษิต ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
|
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ เป็น
พระราชาคณะชั้นธรรม
ที่ พระธรรมดิลก ศากยปุตตินายก ตรีปิฎกบัณฑิต ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
|
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็น
รองสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นหิรัญบัฏ
มีราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่า พระธรรมวโรดม บรมญาณอดุลสุนทรนายก ตรีปิฎกคุณาลังการวิภูสิต สุทธิกิจสาทร มหาคณิสร บวรสังฆาราม คามวาสี
|
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็น
สมเด็จพระราชาคณะ
ที่ สมเด็จพระวันรัต ปริยัติพิพัฒนพงศ์ วิสุทธิสงฆ์ปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณสุนทร มหาคณปธานาดิศร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญญวาสี
|
๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ทรงได้รับการสถาปนาเป็น
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกกลาสุโกสล วิมลคัมภีรญาณ ปุณณสิริภิธานสังฆวิสุทธิ์ ปาวจนุตตมสิกขวโรปการ ศีลขันธสมาจารสุทธิปฏิบัติ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลธรรมวิสารสุนทร บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช
|
แจ้งเพิ่มข้อมูล info@sangkhatikan.com
www.sangkhatikan.com สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจ ศึกษาข้อมูล และเป็นที่รวบรวมข้อมูลพระสังฆาธิการทั่วประเทศ
ทางผู้จัดทำขออนุญาติ เจ้าของรูปและข้อมูลทุกท่าน ที่นำมาเผยแพร่
พระสังฆาธิการ : sangkhatikan.com
สำนักงานweb : วัดสำโรงเหนือ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ๑๐๑๓๐
E-mail : info@sangkhatikan.com
Facebook